เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นักวิชาการ เผย ตั้งแต่เปิดด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ปี 2549 แม้สร้างมูลค่าการนำเข้าอย่างมหาศาลทะลุ 4-5 พันล้านบาท กลับทำลายผู้ค้ารายย่อยตายเรียบ จาก 300 กว่ารายเหลือเพียง 100 รายเท่านั้น นับว่าเป็นบทเรียนก่อนการเปิดเออีซี
เมื่อวานนี้ (13 พฤษภาคม 2556) นายพฤกษ์ เถาถวิล นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เปิดเผยถึงด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ประเทศลาวว่า เมื่อก่อนนี้ เคยมีร้านค้ารายย่อยประมาณ 300 ร้านอยู่บริเวณด่าน คล้าย ๆ ตลาดโรงเกลือ และเป็นแหล่งค้าส่งสินค้า ไทย ลาว เวียดนาม อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลมีคำสั่งเปิดด่านถาวรเมื่อ พ.ศ. 2549 ก็ทำให้การค้าขายเปิดเสรีมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตรายใหญ่ เริ่มหันมาส่งสินค้าผ่านแดนด้วยตัวเอง แทนที่การผ่านนายหน้า
นอกจากนี้ การเปิดด่านถาวร ย่อมพ่วงด้วยภาษีศูนย์เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ลดต้นทุนส่งสินค้าข้ามแดน ทั้งหมดนี้ ทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงร้านค้าประมาณ 100 กว่าร้านเท่านั้น กระจุกตัวอยู่ที่ขวามือของด่าน ส่วนซ้ายมือของด่านเป็นอาคารชุดที่เกือบร้าง ส่วนรายได้ที่เคยได้วันละหมื่นบาท ก็เหลือเพียงวันละ 2-3 พันบาทเท่านั้น
นายพฤกษ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ด่านช่องเม็กยังอยู่ได้ในปัจจุบัน เพราะกลุ่มผู้ประกอบการมีการปรับตัว เปลี่ยนอาชีพ หันมาทำธุรกิจสีเทาแทน เช่น ร้านคาราโอเกะที่แฝงการค้าประเวณี หรือการค้าขายสินค้าต้องห้าม ซึ่งเรื่องนี้ตนมองว่า การออกกฎหมายของรัฐบาล ให้พื้นที่มีความสงบ เป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ต้องไม่ขัดขวางและทำลายวิถีชีวิตของคนในท้องที่ เพื่อให้พวกเขามีอาชีพที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกผ่านด่านช่องเม็ก ช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555-มีนาคม 2556) พบว่า มีการส่งออก 5,462.763 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกสำคัญ 3 อันดับแรกคือ น้ำมันดีเซล, น้ำมันเบนซิน และรถยนต์ปิกอัพ ขณะที่การนำเข้า มีการนำเข้าเพียง 887.878 ล้านบาท โดยสินค้านำเข้า 3 อันดับแรก ได้แก่ กะหล่ำปลี มะขามเปียก และมันเทศ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คิดอย่างไรกับเรื่อง: เผย เปิดด่านช่องเม็กทำผู้ค้ารายย่อยตายเรียบ-บทเรียนก่อนเปิดเออีซี ?
รอโหลดข้อความของเพื่อน ๆ ด้านล่างนี้สักครู่ แล้วร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณได้เลย !